สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดการอบรมหลักสูตรการรายงานข่าวในสถานการณ์ความขัดแย้งและภัยพิบัติ หรือ Safety Training รุ่นที่12 เพื่อการเตรียมตัวและวางแผนก่อนลงพื้นที่ปฏิบัติงานข่าวอย่างปลอดภัย โดยมีทีมวิทยากรที่มากด้วยประสบการณ์เข้ามาอบรมให้กับสื่อมวลชนจากแขนงต่างๆ 30 คน เข้าร่วมการอบรมครั้งนี้ ระหว่างวันที่ 12-15 ต.ค. ที่ มอนโทโร รีสอร์ท จังหวัดเพชรบุรี
นายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ ในฐานะผู้จัดการโครงการ กล่าวว่า สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญในความปลอดภัย และสวัสดิภาพของสื่อมวลชน ที่ต้องเข้าพื้นที่รายงานข่าวในสถานการณ์การชุมนุมที่มีบริบทความขัดแย้งในรูปแบบต่างๆ มีความเสี่ยงที่จะได้รับความสูญเสียทั้งร่างกาย และทรัพย์สิน รวมทั้งในสถานการณ์ปัจจุบันมีสาธารณภัยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และให้สื่อมวลชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและจัดการกับข่าวปลอม (Fake News) สกัดกั้นวาทกรรมที่เพิ่มความขัดแย้งให้กับสังคม ด้วยวิธีการนำเสนอข่าวอย่างมืออาชีพภายใต้กรอบจริยธรรม จรรยาบรรณ
ขณะที่วงการสื่อสารมวลชนเข้าสู่ยุคดิจิทัลมีเกิดสื่อใหม่ขึ้นมาเป็นจำนวนมากได้เกิดสื่อใหม่ขึ้นมาเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ขณะที่สื่อดั้งเดิม ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ต้องปรับตัวสู่ออนไลน์ไปในรูปแบบการหลอมรวมสื่อไปหมดแล้ว ดังนั้นการรายงานข่าวของสื่อมวลชนในสนามข่าว คือเป็นนายทวารข่าวสารด่านแรก ที่จะต้องนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง ให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนสำหรับการปฏิบัติตัวในเหตุการณ์ต่างๆอย่างถูกวิธี รวมถึงสื่อมวลชนในสนาม ต้องสามารถปฏิบัติตัวในพื้นที่ให้อยู่ในภาวะที่ปลอดภัยกับตัวเองในภัยคุกคามต่างๆ
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ คำนึงถึงความสำคัญของประเด็นเหล่านี้ จึงจัดการอบรมโครงการ การอบรมเชิงปฏิบัติการจริยธรรมการสื่อสารในภาวะวิกฤต และสาธารณภัยในยุคดิจิทัลขึ้น เพื่อให้สื่อมวลชนที่ผ่านการอบรมสามารถนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้และเพื่อให้สื่อมวลชนไทย ทั้งผู้สื่อข่าว และช่างภาพ จากสื่อทุกแขนง ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ได้เพิ่มทักษะเรียนรู้เรื่องการทำข่าวในสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง การรายงานข่าวอย่างรอบด้านเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่เพิ่มความขัดแย้ง โดยมีผู้สื่อข่าวและช่างภาพเข้าร่วมอบรมจำนวน 30 คน เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน
นายสถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา หน.ทีมวิทยากรอบรมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการฯ กล่าวว่า การอบรม Safety Training ของนักข่าว เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ความรุนแรงจากการชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี2553 ซึ่งมีนักข่าวบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคน ทำให้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯจัดงานเติมกำลังใจให้กับสื่อมวลชน พร้อมรับข้อเสนอ 11 ข้อจากนักข่าวภาคสนาม ซึ่งรวมถึงการจัดให้มีหลักสูตรอบรมด้านความปลอดภัยในการทำข่าวความขัดแย้ง จึงเริ่มมีการอบรมเชิงปฏิบัติการ Safety Training รุ่นที่ 1 ในปี 2553 และจัดต่อเนื่องทุกปีมาจนถึงปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 12แล้ว
ในช่วงประมาณ 5 รุ่นที่ผ่านมา หลักสูตร Safety Training ยังถูกพัฒนาให้เหมาะสมกับสถานการณ์การทำงานของสื่อมวลชนในปัจจุบัน ที่ต้องลงพื้นที่ทำข่าวภัยพิบัติโดยเฉพาะในสถานการณ์น้ำท่วมอยู่บ่อยครั้ง จึงมีการเพิ่มหลักสูตรการรายงานข่าวในสถานการณ์ภัยพิบัติ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นข่าวที่มีความขัดแย้งแฝงอยู่ด้วย เพื่อให้นักขาวสามารถมองลงพื้นที่ทำข่าวภัยพิบัติได้อย่างปลอดภัย รายงานได้รอบด้าน มีองค์ความรู้ในการรายงานเพื่อช่วยเตือนภัยและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงช่วยให้สังคมได้เห็นประเด็นความขัดแย้งที่ซ่อนอยู่ในภัยพิบัติได้มากขึ้น
สำหรับการฝึกอบรมระยะเวลา 4 วัน 3 คืน จะทั้งข้อมูลทฤษฎีเบื้องต้น และการลงพื้นที่ฝึกปฏิบัติจริง โดยการอบรมประกอบด้วยหลักสูตรบรรยายทฤษฎี และแทรกสถานการณ์จำลองเพื่อฝึกปฏิบัติจริง อาทิ หลักสูตรการบริหารความเสี่ยง, หลักสูตรภาษาที่ใช้ในการรายงานข่าว, และการเรียนรู้และการปฏิบัติตัวเมื่อเข้าทำข่าวในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงทั้งจากการใช้ความรุนแรงและโรคระบาด พัฒนาทักษะในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารด้วยเครื่องมือต่างๆ ทั้งนี้จะมีการทดสอบความเข้าใจในเนื้อหาทั้งหมดที่ได้รับการอบรม จากการปฏิบัติของผู้เข้าร่วมอบรมทีละขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผนเตรียมอุปกรณ์ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ และการรายงานข่าว
นายชำนาญ ไชยศร อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ กล่าวว่า ด้วยที่ผ่านมาฝ่ายสิทธิเสรีภาพฯ ได้รับการร้องเรียนสื่อมวลชนหลายสำนักส่งนักข่าว และช่างภาพลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง หลายครั้งก็เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุม หรือปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุมส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนในพื้นที่ชุมนุมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้มีผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยได้รับบาดเจ็บระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งโดนกระสุนยาง แก๊สน้ำตา รวมไปถึงน็อต พลุไฟ ลูกแก้วหรือวัตถุเทียมอาวุธอื่นๆ ทั้งยังพบความเสี่ยงในการเข้าไปรายงานภัยพิบัติธรรมชาติต่างๆ
การอบรมในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่สื่อมวลชนจากทั้งสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ รวมถึงสื่อออนไลน์ จะได้มีโอกาสเพิ่มศักยภาพในการเข้ากับสถานการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติน้ำท่วมตอนนี้ เพราะบางคนไม่เคยทำสนามข่าวภัยพิบัติ หรือความขัดแย้งมาเลย หลังจากผ่านการอบรมครั้งนี้จะได้นำบทเรียนที่ได้รับจากการอบรมไปเป็นด่านทดสอบในการวางแผนการทำข่าวได้ดี ทั้งการบริหารความเสี่ยง การศึกษาพื้นที่ก่อนลงไปทำข่าว การเตรียมตัวก่อนเข้าไปในพื้นที่ การจัดเตรียมอุปกรณ์ทำข่าวพื้นฐาน
ดังนั้นหวังว่าสื่อมวลชนผ่านการอบรมSafety Training รุ่นที่12 จะสามารถนำประสบการณ์ในการอบรมไปปรับใช้กับการรายงานข่าวความขัดแย้ง และการเอาตัวรอดในการทำข่าวทางน้ำได้อย่างถูกวิธี เพื่อให้สามารถลดความเสี่ยงอันตรายขั้นสูงสุด และอยากให้ระลึกไว้เสมอว่าสิ่งที่สำคัญในการทำข่าวเป็นเหตุการณ์ความรุนแรง หรือภัยพิบัตินั้นนักข่าวต้องปลอดภัยกลับมาเพื่อถ่ายทอดเหตุการณ์นั้นสู่สังคมให้ได้ เพราะแม้ว่าข่าวนั้นจะสำคัญเพียงใดหากแต่ผู้ส่งสารไม่มีความปลอดภัยข่าวนั้นย่อมไม่ถูกเผยแพร่ออกไปได้กลายเป็นสิ่งไม่มีความหมายก็ได้
สุดท้ายสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยสามารถจัดอบรมSafety Training รุ่นที่12 ได้เพราะได้รับการสนับสนุนจากสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัย และสร้างสรรค์ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) บมจ.วิริยะประกันภัย การ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทีมกู้ชีพทางน้ำ ใจถึงใจ และสถานีโทรทัศน์PPTV ช่อง36ที่นำเสื้อชูชีพของสถานีมาสนับสนุนการอบรมทางน้ำครั้งนี้