พรรคการเมืองประสานเสียง ยกเลิกคำสั่งคุมการทำงานสื่อ หนุนสร้างเสรีภาพภายใต้กรอบดูแลตรวจสอบกันเอง
ในการเสวนาเรื่อง “รับฟังนโยบายพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน” ณ ห้องประชุม อิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2562 จัดโดยสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมีผู้แทนจาก 4 พรรคการเมืองเข้าร่วม ประกอบด้วย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ จากพรรคเพื่อไทย นายบุญยอด สุขถิ่นไทย พรรคประชาธิปัตย์ นายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ พรรคชาติไทยพัฒนา และน.ส.พรรณิการ์ วานิช จากพรรคอนาคตใหม่ ดำเนินการเสวนาโดย นายณรรธราวุธ เมืองสุข สื่อมวลชนอิสระ
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ จากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาดูข่าวโทรทัศน์รู้สึกไม่แน่ใจว่าจะเชื่อได้ หรือไม่ได้ ยิ่งช่วงหลังมีเรื่องของสีเสื้อสื่อแสดงตัวตนชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูล เชื่อได้บ้างไม่ได้บ้าง อีกทั้งปัจจุบัน มีทั้ง ทวิตเตอร์ ไลน์ เฟซบุ๊ก ดังนั้น ใครส่งข่าวอะไรก็จะมีคนที่ไม่ใช่นักข่าวตรวจสอบว่าจริงไม่จริง กระบวนการกลั่นกรองสื่อสารมวลชนปลายทางถือว่าเกณฑ์ดี สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติม สอบถามจากไลน์กลุ่มเพื่อนเกี่ยวกับองค์กรนั้น
ทั้งนี้ โลกของสื่อสารมวลชนเปิดแต่ถูกปิดโดยคำสั่ง คสช. 4-5 ฉบับ การเดินทางของสื่อมวลชนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากคะแนนเต็ม 10 ให้คะแนน 7 คะแนน โดยมีประชาชนถ่วงดุล ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น การปล่อยข่าวลบเหมือนสมัยเก่าจึงทำไม่ได้ สื่อมวลชนไหนมีความน่าเชื่อถือแค่ไหนอยู่ที่ผู้รับสารจะตอบเองว่าไว้ใจสื่อนั้นๆ มากน้อยแค่ไหน
นายจิรายุ กล่าวว่า เห็นด้วยกับการเรียกร้องให้ คสช.ยกเลิก ประกาศ คสช. ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสื่อมวลชน ซึ่งมาจากการปฏิวัติ พ.ศ. 2557 ฝ่ายกฎหมายก็ไปดูจากของเก่า นำมาปรับใช้ในการควบคุมสื่อ อีกทั้งอยากเห็นการดีเบตของสื่อมวลชนเอง เช่น พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์บางฉบับตกใจไม่เชื่อว่าจะพาดได้ขนาดนั้น จึงอยากให้สื่อมวลชนตรวจสอบกันเองว่า พาดหัวข่าวแบบนั้นเป็นการใส่ร้าย ชักนำให้เชื่อความจริงข้างเดียว หรือไม่
นายจิรายุ กล่าวว่า ในนโยบายพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีเรื่องสื่อมวลชนเป็นการเฉพาะ เพราะเกรงจะเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับมาว่าแค่เริ่มต้นก็ตั้งท่ากำหนดสื่อสารมวลชนแล้ว ดังนั้นจึงไม่เขียนชัดเจนแต่เขียนในเรื่องการวางรากฐานประชาธิปไตย ส่งเสริมความรู้ เพิ่มการมีส่วนร่วมประชาชนทุกเรื่อง เช่น พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร เพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐในการตรวจสอบถ่วงดุลกันเอง และให้ประชานชนเป็นศูนย์กลางมีส่วนร่วมในการกลั่นกรองเรื่องต่างๆ มากขึ้น
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปัญหาของสื่อมวลชนอยู่ที่การปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งปัจจุบันคนไม่อ่านหนังสือพิมพ์กระดาษ ไม่เปิดวิทยุ โทรทัศน์ การปรับตัวโครงสร้างต้องตามให้ทัน คนส่งสารปัจจุบันไม่ใช่ทีมงานบรรณาธิการ แต่นักข่าวส่งสารกลายเป็นประชาชนทั่วไป ซึ่งปัญหาการเป็นเกตคีบเปอร์ (Gate – keeper) ซึ่งเป็นหน้าที่สื่อมวลชน ทุกคนจะเข้าใจตรงนี้หรือไม่
ทั้งนี้ สำหรับนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับสื่อมวลชน มีประมาณ 9 ข้อ เช่น ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนภายใต้ความรับผิดชอบต่อสังคม, สนับสนุนสื่อมวลชนให้ทำหน้าที่อิสระ, ไม่ละเมิด ไม่แทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน, แก้ไขกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ เช่น พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ส่วนสภาวิชาชีพที่จะออกมาเพื่อปกป้องสิทธิ และส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพ หากประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะไม่ทำหน้าที่เป็นเร็กกูเรเตอร์ (Regulator) ไม่ไปจับผิดแต่จะเป็นรัฐบาลที่ให้การสนับสนุน ช่วยผู้ประกอบวิชาชีพให้เติบโตแข็งแรงด้วยตัวเอง
นายบุญยอด กล่าวว่า การปฏิรูปสื่อ 5 ปีผ่านไปยังไม่เห็น ทั้งที่คนเฝ้ารออยากเห็นสื่อปฏิรูปตัวเองในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร หากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล จะทำเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการตรวจกัก ปิดกิจการหนังสือพิมพ์ จะทำไม่ได้ แต่ให้กลับไปสู่กระบวนการตามกฎหมาย หากใครละเมิดคนอื่นก็จะอาจถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้
สำหรับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หากไม่มีก็อาจทำให้เกิดการด่ากันในโซเชียลมีเดียไม่มีขอบเขต หรือประชาชนที่ถูกละเมิดโดยสื่อก็ไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครตรงไหน ทุกวันนี้ใครๆ ก็เป็นสื่อได้ ต้องมีสิทธิเสรีภาพ แต่การถูกคุกคามโดนปิดก็ต้องไปดูเป็นรายกรณี ว่าดำเนินการตามจรรยาบรรณวิชาชีพหรือไม่ รวมทั้งอาจต้องไปดูองค์กรสื่อแต่ละที่ว่ามีองค์ประกอบอย่างไร แหล่งเงินมาจากไหน มีใครเป็นท่อน้ำเลี้ยง ซึ่งจะต้องมาคุยกัน
น.ส.พรรณิการ์ วานิช พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ปัญหาที่สื่อต้องเผชิญมี 4 ประเด็น คือ 1. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป จากสื่อเดิมไปสู่ดิจิทัล ซึ่งโซเชียลมีเดียเบ่งบาน มีเฟซบุ๊กไลฟ์ เปลี่ยนโฉมวงการสื่อสิ้นเชิง ทำให้ทุกคนกลายเป็นสื่อ เปลี่ยนผู้รับสารเป็นผู้ส่งสาร สามารถแชร์ คอมเมนต์ ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับประชาธิปไตยที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็น
2.เศรษฐกิจ จากการประมูลทีวีดิจิทัล จนมีทีวี 20-30 ช่อง จากเดิม 3-5 ช่อง ส่งผลกระทบเศรษฐกิจมหาศาลแทบไม่มีช่องไหนมีกำไร ช่องที่อยู่ได้คือเจ้าของสื่อที่มีทุนหนา และส่วนใหญ่เป็นทุนขนาดใหญ่ที่ต้องการมีสื่อในมือ จะกำไรขาดทุนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ จนนำมาสู่การเลย์ออฟ เออร์ลีรีไทร์ และต้องทำงานแข่งขันกับเรตติ้ง ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลังรัฐประหารยิ่งทำให้นักข่าวลำบาก
3. ด้านการเมือง โดยสถิติตั้งแต่รัฐประหารจนถึง 22 ก.พ. 2562 พบว่ามีการลงดาบสื่อมวลชนไปแล้ว 59 ครั้ง ในช่วงไม่ถึง 5 ปี โดยอาศัยหลักเกณฑ์คำสั่ง คสช. ซึ่งทุกฝั่งโดนหมดทั้งฝั่ง วอยส์ทีวี โดนไป 24 ครั้ง พีซทีวีโดนไป 14 ครั้ง ไปจนถึงฝั่ง เนชั่น สปริงส์ ทีนิวส์ ฟ้าวันใหม่ก็โดน หรือแม้แต่ไทยพีบีเอส ทุกสื่อเดือดร้อนทั่วกันจากประกาศ ของ คสช. ที่เป็นเครื่องมือปิดปากสื่อ ซึ่งยังไม่ร้ายแรงเท่ากับเส้นแบ่งที่ยังไม่ชัดเจน อะไรทำได้ ไม่ได้ ผิด ไม่ผิด จนนำไปสู่การเซ็นเซอร์ตัวเอง
และ 4. จรรยาบรรณกับจริยธรรมสื่อ เราควรจะแบ่งสื่อไหมว่าสื่อไหนสื่อจริงสื่อเทียม มาจนถึงเรื่องจริยธรรม และจรรยาบรรณซึ่งเป็นคำเดียวกันหรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่า จรรยาบรรณวิชาชีพ เป็นกรอบการทำหน้าที่สื่อมวลชน ส่วนสื่อจะเลือกข้างได้ไหม ตัวอย่างเช่น นิวยอร์ค ไทมส์ เดอะการ์เดียน ก็ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าสนับสนุนพรรคไหน เพื่อให้ประชาชนทราบจุดยืน
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเด็นสื่อมวลชนควรต้องตรวจสอบกันเองหรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะคนที่ตรวจสอบคือประชาชน ซึ่งจะให้คะแนนคุณ ในการนำเสนอข่าว ข่าวปลอม ข่าวจริง ไม่ใช่พวกคุณไปตัดสินกันเอง แต่ประชาชนตรวจสอบสื่อ เพื่อให้สื่อเสริมสร้างปรับปรุงตัวเอง อยู่ใต้จรรยาบรรณทำเพื่อมวลชน
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า นโยบายของพรรคอนาคตใหม่ ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายเกี่ยวข้องกับสื่อ แต่ควรจะมีให้น้อยที่สุด และใช้กฎหมายปกติที่มี เพื่อคุ้มครองเสรีภาพ ไม่ควรมีกฎหมายพิเศษเข้ามาจัดการสื่อเพราะบทเรียนที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายพิเศษไปจัดการ 59 ครั้ง ดังนั้นพรรคมีนโยบายที่จะสะสางมรดก คสช. ตั้งคณะกรรมการพิจารณาประกาศ คสช. ที่ล่วงละเมิดสิทธิ อย่างเช่น คำสั่ง คสช. 12/2557 ,17/2557 , 26/2557 , 97/2557, 103/2557 ,41/2559 และแก้ไข พ.ร.บ.คอมฯ พ.ร.บ.ไซเบอร์ ที่เป็นปัญหา พร้อมเพิ่มอำนาจตรวจสอบประชาชน
อย่างไรก็ตาม การต่อต้านคอรัปชั่นที่ดีที่สุดคือการให้อำนาจประชาชน 70 ล้านคน ตรวจสอบ ด้วยเทคโนโลยี โอเพนดาต้า (Open Data) ที่เปิดเผยโปร่งใส ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่เอื้อให้ประชาชนตรวจสอบ ไม่ว่าองค์กรอิสระ หรือหน่วยงานรัฐ แม้จะมี พ.ร.บ.เอื้อให้ขอข้อมูลแต่กระบวนการยุ่งยากเสียเวลา ควรทำให้ง่าย เข้าถึงเรื่องสัมปทาน การซื้อขายอาวุธ ซึ่งไม่ใช่เรื่องลับ และไม่ให้มีกฎหมายปิดปากสื่อเพราะเสรีภาพสื่อเป็นเสรีภาพประชาชน และเสรีภาพประชาชนนำไปสู่ประชาธิปไตยยั่งยืน
นายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า สื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพทำงานโดยสุจริต ซึ่งมีการต่อสู้มานาน รวมทั้งการปลดคำสั่ง คสช. ส่วนจะทำให้ได้หมดหรือไม่นั้น ต้องดูว่ามีเวลาแค่ไหน เพราะภาพการเมืองหลังเลือกตั้งเที่ยวนี้ เห็นตรงกันหมดว่ารัฐบาลใหม่อาจอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วน ต้องรีบทำต้องกระตุ้นให้นักการเมืองตื่นตัวรีบทำเรื่องนี้เป็นเรื่องด่วน
อย่างไรก็ตามในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสภาวิชาชีพ มีปัญหาตั้งแต่ก่อนหน้าที่ที่ทะเลาะกันเพราะมีตัวแทนจากภาครัฐเข้ามายุ่งวุ่นวาย ซึ่งเราต้องรับความจริง และตอบคำถามให้ได้ว่าสื่อมวลชนสามารถกำกับกันเองได้หรือไม่ ถ้ายืนยันว่ากำกับได้ก็จบ ซึ่งพรรคมีนโยบายกระจายอำนาจ ให้องค์กรดูแลกันเองได้ ซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาคงไม่ใช่เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลแต่ก็ยินดีร่วมมือ
นายสัมพันธ์ กล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญเขียนเรื่องสื่อไว้ชัดเจน ดังนั้นไม่ควรมี คำสั่ง คสช. ออกมา ควรยกเลิก คำสั่งที่เข้าไปจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยสื่อควรมีอิสระ ภายใต้การกำกับดูแลองค์กรตัวเอง ส่วนทำได้หรือไม่ได้ ก็จะเป็นบททดสอบตัวเอง