สมาคมสื่อไทย-กัมพูชาเห็นชอบร่วมจัดการปัญหาเฟคนิวส์

นางสาว น.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายอนุชา เจริญโพธิ์ อุปนายกฝ่ายต่างประเทศ และนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ที่ปรึกษา พร้อมด้วยกรรมการบริหารสมาคมฯ จัดประชุมความร่วมมือระหว่างองค์กรสื่อของไทยและกัมพูชา โดยมีการทบทวนบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ทำไว้เมื่อ ต.ค. 2566 ร่วมกัน ฝั่งสื่อมวลชนกัมพูชามี นางสาวทอง โสวันเรนสี (Miss.Thong Sovanraingsey) เลขาธิการสมาคมนักข่าวกัมพูชา(Club of Cambodian Journalists – CCJ) ในฐานะหัวหน้าคณะและนายเขียว โคลา (Mr.Khieu Kola) กรรมการสมาคมฯ พร้อมคณะเข้าร่วมประชุม โดยการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในโอกาสที่สื่อมวลชนกัมพูชาเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 16-20 ส.ค.2567 ซึ่งเป็นเยี่ยมเยือนระหว่างกันอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน

นายอนุชา กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนไทย-กัมพูชาเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2537 ก่อนยุติลงชั่วคราวจากจากปัญหาทางการเมืองภายในประเทศกัมพูชา จนกระทั่งปี 2546 มีเหตุการณ์ความเข้าใจผิดระหว่างประชาชน 2 ประเทศ ทำให้เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ในกัมพูชา ในสมัยนั้นนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณีเป็นนายกสมาคมฯ ได้หารือกับสมาคมนักข่าวกัมพูชา แล้วริเริ่มจัดทำโครงการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์สื่อมวลชนกัมพูชา-ไทยอีกครั้งตั้งแต่ปี 2547

โครงการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์สื่อมวลชนของทั้ง 2 ประเทศเป็นโครงการที่มุ่งส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับสื่อมวลชน ระหว่างประชาชนกับประชาชน รวมถึงรัฐบาลต่อรัฐบาล สำหรับการเยี่ยมเยือนนี้ได้มีการทบทวน MOU ที่ทำร่วมกันระหว่าง 2 สมาคม เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ และสิทธิเสรีภาพสื่อ

ล่าสุดมีการจัดตั้ง Hotline contact ระหว่าง 2 สมาคม เพื่อเป็นช่องทางติดต่อสื่อสารกันในประเด็นเร่งด่วนฉุกเฉิน หรือประเด็นที่จะก่อให้เกิดความไม่เข้าใจระหว่างกัน สำหรับกิจกรรมที่เคยทำร่วมกันสมาคมนักข่าวฯ ได้จัดอบรมภาษากัมพูชาให้นักข่าวไทย โดยนักข่าวที่มีคะแนนสูงสุดในรุ่นก็จะได้รับโอกาสไปฝึกงานในประเทศกัมพูชา ดังนั้นในการทำ MOU ครั้งนี้ก็เป็นความตั้งใจของทั้ง 2 ฝ่ายที่จะทำงานร่วมกันตลอดไป

นายชวรงค์ กล่าวว่า สมาคมนักข่าวไทยได้เดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาตามคำเชิญของสมาคมนักข่าวกัมพูชาในเมื่อระหว่างวันที่ 18-22 ตุลาคม 2023 โดยที่ TJA (Thai Journalists Association)  และ CCJ (Club of Cambidian Journalists – CCJ)  เป็นองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่รวมตัวกันเพื่อพัฒนาความร่วมมือในการส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านสื่อของทั้ง 2 ประเทศ อ้างถึงบันทึกความเข้าใจที่ได้ลงนามในกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 7 พ.ย.2018 และแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 21 ต.ค.2019 ในกรุงเทพฯ สมาคมนักข่าวกัมพูชา และสมาคมนักข่าวไทยได้ตกลงที่จะต่ออายุบันทึกความเข้าใจฉบับปัจจุบัน ดังนี้

ข้อ1.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งเสริมและเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านสื่อของทั้งสองประเทศผ่านกิจกรรมระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ

ข้อ 2. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะรักษาการติดต่อ Hotline contact  ที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นเพื่อการ

สื่อสารในกรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดหรือการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนอันอาจเกิดจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง

ข้อ3. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำเนินการโครงการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนไทย – กัมพูชาทุกปี เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ และติดตามสถานการณ์สื่อในปัจจุบันของแต่ละประเทศ

ข้อ 4.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการพัฒนาศักยภาพด้านสื่อและเพิ่มพูน

ความเป็นมืออาชีพด้านสื่อสารมวลชนของนักข่าวทั้งสองประเทศ

และข้อ 5.ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกันในการมีส่วนร่วมและความร่วมมือภายใต้

กรอบของสมาพันธ์นักข่าวอาเซียน (Confederation of ASEAN Journalists -CAJ)

นางสาวทอง กล่าวว่า การประชุมหารือครั้งนี้เป็นความร่วมมือที่แน่นแฟ้นมายาวนาน ในการหารือถึงทิศทางความร่วมมือในอนาคต เพื่อเพิ่มเติมตามการบันทึกความเข้าใจ MOU ที่เคยลงนามร่วมกัน ซึ่งปัจจุบันปฏิบัติได้ 60 – ​70%  อยากให้สื่อมวลชนทั้ง 2 ประเทศร่วมมือกันทำตาม MOU ให้ได้ 100%  พร้อมกล่าวว่าสมาคมนักข่าวกัมพูชาได้ตั้งเป้าหมายจะถ่ายทอดองค์ความรู้แก่นักข่าวกัมพูชา เพื่อให้สามารถทำข่าวได้อย่างเป็นกลาง แม่นยำ และครบถ้วนถูกต้องมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหา Fake News ที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างความเข้าใจต่อกันระหว่างประชาชน 2 ประเทศ

ซึ่งเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของสื่อมวลชนทั้ง 2 ประเทศในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมายาวนานต้องร่วมมือกันป้องกัน Fake News ไม่ให้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกัน สมาคมนักข่าวกัมพูชาไม่สามารถทำฝ่ายเดียวได้จะต้องได้รับความร่วมมือจากสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อกันอย่างใกล้ชิดอันจะเป็นเกาะป้องกัน Fake News ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นางสาว น.รินี กล่าวว่า สำหรับ Fake News เป็นปัญหาใหญ่ ทำให้คนหลงเชื่อข้อมูลผิดๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอาเซียนแตกแยก จึงทำให้สื่อมวลชนไทย สื่อมวลชนกัมพูชา สื่อมวลชนลาวและสื่อมวลชนเวียดนาม จำเป็นต้องร่วมกันขับเคลื่อนการป้องกัน Fake News อย่างจริงจัง โดยเริ่มจากความร่วมมือระหว่างสมาคมนักข่าวไทย-กัมพูชาในการให้ความรู้กับสื่อมวลชนทั้ง 2 ประเทศ เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาของ Fake News  โดย MOU ระหว่างสื่อมวลชนไทย และสื่อมวลชนกัมพูชา จะเป็นข้อตกลงสำคัญในการขับเคลื่อนมุ่งเป้าตรวจสอบป้องกัน Fake News ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สำหรับโครงการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์สื่อมวลชนกัมพูชา-ไทย ครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญและมูลนิธิประเทศไทย